วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

อาชีพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ




นักเขียนโปรแกรม หรือ programmer
มีหน้าที่หลักคือการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งนักเขียนโปรแกรมสามารถหมายถึงผู้ที่เชี่ยวชาญในการโปรแกรมเฉพาะด้าน หรือผู้ที่สามารถเขียนรหัสซอฟต์แวร์ได้หลากหลาย
ลักษณะการทำงานของนักโปรแกรมเมอร์
โปรแกรมเมอร์ จะทำหน้าที่ นำข้อมูลการออกแบบรายละเอียดการวางโครงสร้างระบบคอมพิวเตอร์ จากนักวิเคราะห์ระบบงาน มาเขียนเป็นโปรแกรมต่าง ๆ ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมจะแตกต่างกันไปตามลักษณะเครื่องของระบบฐานข้อมูล ทดสอบระบบและส่งให้นักวิเคราะห์ระบบทำการตรวจสอบอีกครั้งเพื่อหากจุดบกพร่องและแก้ไขก่อนนำไปใช้จริง โปรแกรมเมอร์ยังต้องทำหน้าที่ รับรายละเอียดของความต้องการของผู้ใช้ระบบ (User) จากนักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) จัดทำแผนภูมิ (Flowchart) ขั้นตอนการทำงานที่ละเอียด และถูกต้องตามหลักวิชา เพื่อประโยชน์ในการเขียนโปรแกรมสำหรับการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์แผนภูมิหรือแผนผังสายงาน แต่เพียงบางส่วนหรือทั้งหมด


เว็บมาสเตอร์ ( webmaster)

 คือบุคคลผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบการออกแบบ การพัฒนา การดูแลการตลาด และการบำรุงรักษาเว็บไซต์โดยเฉพาะบนเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์ เว็บมาสเตอร์สามารถปรับเปลี่ยนหรือจัดการความคิดเห็นของผู้ใช้คนอื่นๆ ได้ เว็บมาสเตอร์อาจเรียกเป็นอย่างอื่นได้เช่น ผู้ดูแลเว็บไซต์ (website administrator) ผู้สร้างเว็บ ผู้พัฒนาเว็บ หรือผู้ออกแบบเว็บ เป็นต้น

 เว็บมาสเตอร์เป็นผู้ฝึกหัดของการสื่อสารผ่านเว็บ โดยปกติเว็บมาสเตอร์จะเป็นผู้ที่มีความรู้ทั่วไปอย่างกว้างขวาง (generalist) แต่ก็มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเอชทีเอ็มแอลเพื่อที่จะจัดการการดำเนินงานบนเว็บทุกรูปแบบ เว็บมาสเตอร์อาจมีความรู้ในเรื่องภาษาสคริปต์อื่นๆ อีกเช่น ภาษาพีเอชพีภาษาเพิร์ล หรือจาวาสคริปต์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำเว็บไซต์

ความหมายที่กว้างขึ้นของเว็บมาสเตอร์คือ นักธุรกิจผู้ซึ่งใช้สื่อออนไลน์ในการขายสินค้าและบริการ ความหมายนี้ไม่เพียงแค่ครอบคลุมลักษณะหน้าที่ทางเทคนิคที่จะต้องตรวจสอบการสร้างและบำรุงรักษาเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดการเนื้อหา การโฆษณา การตลาด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเว็บไซต์

ความรับผิดชอบหลักของเว็บมาสเตอร์ รวมไปถึงการวางข้อกำหนดและการบริหารสิทธิการเข้าถึงของผู้ใช้ที่แตกต่างกันในเว็บไซต์ และการกำหนดภาพลักษณ์ของการสำรวจเว็บไซต์ การวางตำแหน่งของเนื้อหาก็อาจเป็นความรับผิดชอบของเว็บมาสเตอร์ แต่ในขณะที่การสร้างเนื้อหาขึ้นมาใหม่ปกติจะไม่ใช่ นอกจากนั้น เว็บมาสเตอร์อาจทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รับฟังความคิดเห็นและคำติชมจากผู้ใช้ซึ่งเกี่ยวกับการทำงานของเว็บไซต์
 


วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เทคโนโลยีสื่อสังคมเรื่องโครงการในพระราชดำริ


ชื่อโครงงาน  บล็อกเทคโนโลยีสื่อสังคมเรื่องโครงการในพระราชดำริ
เนื้อหา โครงการพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากพระปรีชาสามารถในศาสตร์ต่างๆของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เช่น โครงการเกี่ยวกับดิน น้ำ ป่า และวิศวกรรม โดยการดำเนินงานของโครงการดังกล่าวจะมีหน่วยงานพิเศษของทางราชการเป็นตัวกลางในการประสานงาน คือ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
1.โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย ตั้งอยู่ที่แหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี เป็นพื้นที่แปลงทดลองของโครงการตามแนวพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาและฟื้นฟูป่าชายเลน และสถานีบำบัดน้ำเสียชุมชน โดยยึดหลักการ "ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ" นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านในพื้นที่ใช้เป็นแหล่งประกอบอาชีพอื่นๆจากผลผลิตจากสภาพธรรมชาติที่ดีอันเนื่องมาจากโครงการ เช่นการใช้พืชที่ปลูกไว้ใช้ในการกรองน้ำเสีย เช่น กกธูป เพื่อทำจักสานการทำประมงและจับสัตว์น้ำในพื้นที่ป่าชายเลนที่เกิดขึ้นใหม่ เป็นต้น
การบำบัดน้ำเสียชุมชนในโครงการฯ มี วิธีหลักๆ ได้แก่
1.  แบบ oxidation pond
2.  แบบ constructed wetland
3.  แบบใช้ป่าชายเลนในการกรองน้ำเสีย

โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย ตั้งอยู่ ณ บ้านพะเนิน ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี รหัสไปรษณีย์ 76100 โดยมีพื้นที่การรับน้ำจากเขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี มายังสถานีสูบน้ำเสียคลองยาง (ข้างคลองเจ็กสี-คลองยาง)อำเภอเมืองเพชรบุรี จากนั้นน้ำเสียจะถูกส่งมาตามท่อไปตามแนวคลองชลประทาน เมื่อมาถึงตำบลบางแก้ว อำเภอบ้านแหลม จึงเลียบถนนกั้นน้ำเค็ม (ถนนริเวียร่า)จนถึงวัดสมุทรโคดมจึงจะเข้าถึงที่ทำการ
ในอดีตพื้นที่ตั้งโครงการเคยศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตเพชรบุรี แต่ประชาชนที่บุกรุกที่ดินแปลงนี้บางส่วนไม่ยอมออกจากพื้นที่จึงทำให้โครงก่อสร้างมหาวิทยาลัยได้ไปใช้พื้นที่ดินราชพัสดุในอำเภอชะอำแทน ประกอบกับโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่จะดำเนินการในจังหวัดราชบุรีประสบปัญหาเรื่องที่ตั้งโครงการ จึงได้ย้ายมาที่อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรีแล้วใช้ที่แปลงนี้แทน
2.แก้มลิง เป็นการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับพื้นที่หน่วงน้ำ (detention basin) เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ปัจจุบันมีพื้นที่แก้มลิงขนาดใหญ่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพ เหนือท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยกำหนดในผังการใช้ที่ดินเป็นพื้นที่เขียวลาย ไม่เหมาะกับการพัฒนา นอกจากนี้ยังมีแก้มลิงเล็กใหญ่กระจายอยู่ทั่ว กรุงเทพ กว่า 20 จุด
โครงการแก้มลิง มีแนวคิดจากการที่ลิงอมกล้วยไว้ในกระพุ้งแก้มไว้ได้คราวละมากๆ พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชกระแสอธิบายว่า "ลิงโดยทั่วไปถ้าเราส่งกล้วยให้ ลิงจะรีบปอกเปลือก เอาเข้าปากเคี้ยว แล้วนำไปเก็บไว้ที่แก้มก่อนลิงจะทำอย่างนี้จนกล้วยหมดหวีหรือ เต็มกระพุ้งแก้ม จากนั้นจะค่อยๆ นำออกมาเคี้ยวและกลืนกินภายหลัง"
ในโครงการ มีการวางแผนพื้นที่แก้มลิงอย่างเป็นระบบ โดยหน่วยงานต่างๆ เช่น กทม. กรมชลประทาน เป็นต้น แก้มลิงมี ขนาด จากใหญ่ กลาง เล็ก มีวัตถุประสงค์เพื่อการชะลอน้ำก่อนที่จะจัดการระบายออกในเวลาต่อมา สามารถเป็นได้ทั้งพื้นที่ของรัฐและเอกชน
กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมที่ต้องการศึกษา และ ผู้สนใจทั่วไป
ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ จอภาพ คีย์บอร์ด เมาส์ CPU
ซอฟต์แวร์ที่ใช้ Blogger
สมาชิก
นาย ธนะศักดิ์ มากสวาท  ม.6/2 เลขที่ 10
นาย ชัยวัฒน์ ทองมั่นคง ม.6/2 เลขที่ 22
นาย ตรีทเศศ กิ่งสุวรรณวงศ์  ม.6/2 เลขที่ 23
นาย ชนวีร์ ชิณณะวิโรจน์ไพศาล ม.6/2 เลขที่ 29
นาย อจลญา ชาวราษฎร์ ม.6/2 เลขที่ 36

วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประเภทของสื่อการเรียนรู้

คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) 


คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง วิถีทางของการสอนรายบุคคลโดยอาศัยความสามารถของ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะจัดหาประสบการณ์ที่มีความสัมพันธ์กันมีการ แสดงเนื้อหาตามลำดับที่ต่างกันด้วยบทเรียนโปรแกรมที่เตรียมไว้อย่าง เหมาะสม 
ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 
1. บทเรียน (Tutorial) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นมาในลักษณะของบทเรียนโปรแกรม ที่เสนอเนื้อหาความรู้เป็นส่วนย่อย ๆเลียนแบบการสอนของครู 
2. ฝึกทักษะและปฏิบัติ (Drill and Practice) ส่วนใหญ่ใช้เสริมการสอน ลักษณะที่นิยมกันมากคือ การจับคู่ ถูก-ผิด เลือกข้อถูกจากตัวเลือก 
3. จำลองแบบ (Simulation) นิยมใช้กับบทเรียนที่ไม่สามารถทำให้เห็นจริงได้ 
4. เกมทางการศึกษา (Educational Game) 
5. การสาธิต (Demonstration) นิยมใช้ในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ 
6. การทดสอบ (Testing) เป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน 
7. การไต่ถาม (Inquiry) ใช้เพื่อการค้นหาข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอด 
8. การแก้ปัญหา (Problem Solving) เน้นการให้ฝึกการคิดการตัดสินใจ 
9. แบบรวมวิธีต่าง ๆ เข้าด้วย (Combination) ประยุกต์เอาวิธีสอนหลายแบบมารวมกันตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ 
 ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 
1.ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามเอกัตภาพ 
2.ผู้เรียนมีโอกาสเรียนซ้ำได้หลายครั้งเท่าที่ต้องการ 
3.ผู้เรียนมีโอกาสโต้ตอบกับคอมพิวเตอร์และสามารถควบคุมการเรียนได้เอง 
4.มีภาพ ภาพเคลื่อนไหว สี เสียง ทำให้ผู้เรียนไม่เบื่อหน่ายการเรียน 
5.ตัวผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ 
6.ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามขั้นตอนจากง่ายไปยาก หรือเลือกบทเรียนได้ 
7.ฝึกให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผล ลักษณะของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นการเรียนการสอนแบบรายบุคคล ที่นำเอาหลักการของบทเรียนโปรแกรมและเครื่องช่วยสอน มาผสมผสานกัน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะตอบสนองในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล ของผู้เรียนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเป็นรายบุคคล 
 คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีลักษณะการเรียนที่เป็นขั้นเป็นตอน ดังนี้ 
 1.ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 
 2.ขั้นการเสนอเนื้อหา 
 3.ขั้นคำถามและคำตอบ 
 4.ขั้นการตรวจคำตอบ
 5.ขั้นของการปิดบทเรียน 
 ลักษณะของการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ดี มีดังนี้ 
 1. สร้างขึ้นตามจุดประสงค์ของการสอน 
 2. เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียน 
 3. มีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนให้มากที่สุด 
 4. มีลักษณะเป็นการสอนรายบุคคล
 5. คำนึงถึงความสนใจของผู้เรียน 
 6. สร้างความรู้สึกในทางบวกกับผู้เรียน 
 7. จัดทำบทเรียนให้สามารถแสดงผลย้อนกลับไปยังผู้เรียนให้มาก ๆ 
 8. เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางการเรียนการสอน 
 9. มีวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้เรียนอย่างเหมาะสม 
10.ใช้สมรรถนะของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างเต็มที่ และหลีกเลี่ยงข้อจำกัด บางอย่างของเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่บนพื้นฐานของการออกแบบ การสอนคล้ายกับการผลิตสื่อชนิดอื่น ๆควรมีการประเมินผลทุกแง่ทุกมุม

วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์



ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์

1. การคัดเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจทำ
- จะต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานอย่างเพียงพอในหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา
- สามารถจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องได้
- มีแหล่งความรู้เพียงพอที่จะค้นคว้าหรือขอคำปรึกษา
- มีเวลาเพียงพอ
- มีงบประมาณเพียงพอ
2. ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล
รวมถึงการขอคำปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิช่วยจะช่วยให้นักเรียนได้แนวคิดที่ใช้ในการกำหนดของเขตของเรื่องที่จะศึกษาได้เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งความรู้เพิ่มเติมในเรื่งที่จะศึกษาจนสามารถใช้ออกแบบและวางแผนดำเนินการทำโครงงานนั้นได้อย่างเหมาะสมในการศึกษาค้นคว้าดังกล่าว นักเรียนจะต้องบันทึกสรุปสาระสำคัญไว้ด้วย
โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องหลายขั้นตอน และแต่ละขั้นตอนจะมีความสำคัญต่อโครงงานนั้น ๆ การแบ่งขั้นตอนของการทำโครงงานอาจแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงงานและการวางแผนการทำโครงงานในที่นี้จะบ่งการทำงานออกเป็น 6 ขั้นตอนดังนี้
โดยทั่วไปเรื่องที่จะนำมาพัฒนาเป็นโครงงานคอมพิวเตอร์ มักจะได้มาจากปัญหา คำถาม หรือความสนใจในเรื่องต่าง ๆ จากการสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว นักเรียนสามารถจะศึกษาการได้มาของเรื่องที่จะทำโครงงาน การอ่านค้นคว้า การไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ การฟังบรรยาย รายการวิทยุโทรทัศน์ สนทนาอภิปราย กิจกรรมการเรียนการสอน งานอดิเรก การเข้าชมงานนิทรรศการหรืองานประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์ ในการตัดสินใจเลือกหัวข้อที่จะนำมาพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ ควรพิจารณาองค์ประกอบสำคัญดังนี้
- มีความปลอดภัย
จะต้องพิจารณาดังนี้ มูลเหตุจูงใจและเป้าหมายในการทำ วัสดุอุปกรณ์ ความต้องการของผู้ใช้งานและคุณลักษณะของผลงาน (Requirement and Specification) วิธีการประเมินผล วิธีการพัฒนา ข้อสรุปของโครงงาน ความแปลกใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ แนวทางในการปรับปรุงหรือขยายการทดลองจากงานเดิม
3. การจัดทำเค้าโครงของโครงงานที่จะทำ จำเป็นต้องกำหนดกรอบแนวคิดและวงแผนการพัฒนาล่วงหน้าเพื่อคาดการณ์ความเป็นไปได้ของโครงงาน ขั้นตอนที่สำคัญคือ ศึกษาค้นคว้าเอกสาร วิเคราะห์ข้อมูล ออกแบบการพัฒนา เสนอเค้าโครงของโครงงานต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อขอคำแนะนำและปรับปรุงแก้ไข
4. การลงมือทำโครงงาน เมื่อเค้าโครงได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการพัฒนาตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้ดังนี้ เตรียมการ ลงมือพัฒนา ตรวจสอบผลงานและแกไข อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ แนวทางในการพัฒนาโครงงานในอนาคต
5. การเขียนรายงาน เป็นสื่อความหมายเพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจแนวความคิด วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า ข้อมูลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงงานนั้น ในการเขียนควรใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจได้ง่าย ชัดเจน กระชับ และตรงไปตรงมาให้ครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ
6. การนำเสนอและการแสดงผลงานของโครงงาน เป็นการนำเสนอเพื่อแสดงออกถึงผลิตผลของความคิด ความพยายามในการทำงานที่ผู้ทำโครงงานได้ทุ่มเท และเป็นวิธีที่ให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจในโครงงานนั้น ในการเสนออาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น ติดโปสเตอร์ การรายงานตัวในที่ประชุม การแสดงผลงานด้วยสื่อต่าง การจัดนิทรรศการ การอธิบายด้วยคำพูด



วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ตัวอย่างโครงงานคอมพิวเตอร์


ชื่อโครงงาน

โปรแกรมรับ-ส่งข่าวสารข้อมูลการจราจรผ่านมือถือShare Traffic Information On Mobile

ชื่อผู้ทำโครงงานนายนิติ ลออธรรม , นายวิสิษฐ์ โพธิ์ทอง
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาชนินทร เฉลิมสุข 
สถาบันการศึกษามหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ 
ระดับชั้นปริญญาตรี 
หมวดวิชาคอมพิวเตอร์ 
วัน/เดือน/ปี ทำโครงงาน1/1/2541
บทคัดย่อ
ในปัจจุบันเราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า ข้อมูลข่าวสารของการจราจรนั้น ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราทุกคนไม่มากก็น้อย เนื่องจากเส้นทางคมนาคมที่ดีขึ้น รูปแบบการคมนาคมที่ดีขึ้น ทำให้ในชีวิตประจำวันเราจำเป็นต้องอยู่บนถนนกันค่อนข้างเป็นประจำ หรือในยุคที่การคมนาคมมีประสิทธิภาพสูง ตัวผู้คนเองก็ยิ่งต้องการทราบข่าวสารของการจราจรมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาพการจราจร อุบัติเหตุ และเหตุการณ์อื่นๆที่สำคัญบนท้องถนน โดยการรับข่าวสารของผู้คนในปัจจุบัน รูปแบบการให้บริการแบบเดิมๆ ก็อาจจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการข่าวสารหรือข้อมูลได้ทันท่วงที ดังนั้นการมีโปรแกรมที่สามารถทำให้ผู้ใช้งาน สามารถเชื่อมโยง ข่าวสารข้อมูลต่างๆของการจราจรได้อย่างรวดเร็วและเข้าใจง่าย ย่อมเป็นวิวัฒนาการใหม่สำหรับการเดินทาง ทำให้ผู้ใช้งาน สามารถที่จะรับรู้ข่าวสาร สภาพการจราจร และ ปัญหาต่างๆ เพื่อช่วยให้การวางแผนในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย



สรุป

ในปจจุบันเราไมสามารถปฏิเสธไดเลยวา ขอมูลขาวสารของการจราจรนั้น ไดเขามาเกี่ยวของกับชีิวิตประจําวันของเราทุกคนไมมากก็นอย เนื่องจากเสนทางคมนาคมที่ดีขึ้น รูปแบบการคมนาคมที่ดีขึ้น ทําใหในชีิวตประจําวันเราจําเปนตองอยูบนถนนกันคอนขางเปนประจํา หรือในยุคที่การคมนาคมมีประสิทธิภาพสูง ตัวผูคนเองก็ ยังตองการทราบขาวสารของการจราจรมากขึ้น ไมวาจะเปนเรื่องของสภาพการจราจร อุบัติเหตุและเหตุการณอื่นๆที่สําคัญบนทองถนน โดยการรับขาวสารของผูคนในปจจุบัน รูปแบบการใหบริการแบบเดิมๆ ก็อาจจะไมสามารถตอบสนองความตองการขาวสาร
หรือขอมูลไดทันทวงทีดังนั้นการมีโปรแกรมที่สามารถทําใหผูใชงาน สามารถเชื่อมโยง ขาวสารขอมูลตางๆของการจราจรไดอยางรวดเร็วและเขาใจงาย ยอมเปนวิวัฒนาการใหมสําหรับการเดินทาง ทําใหผูใชงาน สามารถที่จะรับรูขาวสาร สภาพการจราจรและปัญหาตางๆ เพื่อชวยใหการวางแผนในชีวิตประจําวันไดอยางมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกดวย


แหล่งที่มา http://www.vcharkarn.com/project/view/530


วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประโยชน์ของโครงงานคอมพิวเตอร์


ประโยชน์ของโครงงานคอมพิวเตอร์

1. พัฒนาผู้จัดทำโครงงาน อย่างไรบ้าง ?

1. สร้างความสำนึกและความรับผิดชอบในการศึกษาและพัฒนาระบบด้วยตนเอง
2. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้พัฒนาและแสดงความสามารถตามศักยภาพของตนเอง
3. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้า และเรียนรู้ในเรื่องที่นักเรียนสนใจได้ลึกซึ้งกว่าการเรียนในห้องตามปกติ
4. ส่งเสริมและพัฒนากระบวนการคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ รวมทั้งการสื่อสารระหว่างกัน
5. กระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจในการเรียนวิชาสาขาคอมพิวเตอร์ และมีความสนใจที่จะประกอบอาชีพทางด้านนี้
6. ส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์
7. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับครูและชุมชน รวมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนสนใจคอมพิว เตอร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
8. เป็นการบูรณาการเอาความรู้จากวิชาต่าง ๆ ที่ได้รับมาจัดทำผสมผสานกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นโครงงานเพื่อนำเสนอต่อชุมชน


2. พัฒนาสังคม อย่างไร ?

เป็นการใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีอยู่ในการศึกษา ทดลอง แก้ปัญหาต่าง ๆ เพื่อนำผลที่ได้มาประยุกต์ใช้งานจริง หรือใช้เพื่อช่วยสร้างสื่อเพื่อเสริมการเรียนให้ได้ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โครงงานคอมพิวเตอร์จึงเป็นกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้ได้เรียน รู้และฝึกฝนการใช้ทักษะการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ พร้อมทั้งเครื่องมือต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา รวมทั้งการพัฒนาการสร้างผลงานจริงอีกด้วย

3. พัฒนาประเทศชาติ อย่างไร ?

ส่งผลให้ประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้า มีการคิดอย่างเป็นระบบ เกิดการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ ทำให้เกิดความสะดวกสบาย การรับรู้ข่าวสารต่างๆได้อย่างรวดเร็ว




ที่มา : http://krudarin.wordpress.com/
http://www.chakkham.ac.th/
http://banh01.wordpress.com/

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โครงงานคอมพิวเตอร์

โครงงานคอมพิวเตอร์ หมายถึง กิจกรรมการเรียนที่นักเรียนมีอิสระในการเลือกการศึกษาปัญหาที่ตนสนใจโดยจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม โดยใช้ความรู้ทางกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี้่ยวข้องตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนา

ประเภทของโครงงาน แบ่งได้เป็น 5 ประเภท
1.โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการสึกษา เช่น โครงงานเกี่ยวกับการพัฒนาเ้ว็บไำซต์
2.โครงงานพัฒนาเครื่องมือ เป็นโครงงานที่สร้างเครื่องมือ ใช้สร้างผลงาน ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของซอฟต์แวร์ เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป
3.โครงงานประเภทการทดลองทฤษฎี เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการจำลองของสาขาต่างๆ
4.โครงงานประเภทการประยุกต์การใช้งาน สร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานในชีวิตประจำวัน
5. โครงานพัฒนาเกม เพื่อความรู้ ความเพลิดเพลิน เช่น เกมหมากรุก